Wednesday 26 November 2014

Cath's Cafe (by Cath Kidston)


* * *

ห่างหายจากการไปนั่งชิลๆที่คาเฟ่นานมากๆ ตั้งแต่ท้องมานี่ก็ไม่ได้ไปเลย อีกอย่าง...ไม่มีเพื่อนไปนั่งเมาท์ชิลๆ T__T
จนวันนี้ เพื่อนสาวญี่ปุ่นคนสวยที่รักมากคนนึงมาเกาหลี ปกติเพื่อนจะมาเกาหลีทุกปี เพราะแฟนเค้าเป็นคนเกาหลี มาทีก็นัดเจอที ไม่เคยพลาดเลย รอบนี้ก็เหมือนกัน เพื่อนบอกอยากเจอกันก่อนคลอด(จริงๆคงอยากเห็นตอนท้องด้วยแหละ 555) แต่ที่ดีใจมากกว่านั้นคือ เพื่อนกำลังจะแต่งงาน และจะย้ายมาเกาหลีต้นปีหน้านี้แล้ว ฮี่ๆๆๆๆๆ

เพื่อนอยากไป Cath's Cafe ไกลบ้านเราไปประมาณ 1 ชั่วโมงโดยรถไฟ ตอนแรกเพื่อนก็ถามว่าโอเคมั๊ย เพราะมันค่อยข้างไกลบ้านเรา อยู่แถวซัมชองดง(​삼청동) แต่เราก็ไปได้หมด ถึงจะท้อง 36 วีคแล้วแต่ก็ยังคล่องตัวอยู่ แล้วช่วงนี้เกิดอารมณ์อยากจะออกข้างนอก ไปโน่นนี่ตลอดเวลา เพราะรู้สึกว่าหลังคลอดแล้วคงไม่ได้ออกไปไหนมาก หน้าหนาวอีกต่างหาก สงสัยจะได้จำศีล

// วิธีการไปร้าน อยู่ด้านล่างๆของบล็อคนะจ๊ะ
 










ร้านก็ตามสไตล์ Cath Kidston เลย ^^





บรรยากาศร้าน
ร้านเล็กกว่าที่คิด เพราะเห็นรูปจากบล็อคคนเกาหลีแล้วดูเหมือนร้านจะใหญ่กว่านี้






























ถ่ายรูปในร้านรอของกินมาเสริฟ ^^







various berries mix(จำชื่อไม่ค่อยได้ละ) แก้วนี้ของเรา เพราะ non-caffeine
ของเพื่อนเป็น hot coffee latte
แล้วก็สั่งแครอทเค้กมา 1 ชิ้น
จำราคาแยกชิ้นไม่ได้ แต่รวมทั้งหมดนี่ประมาณ 28,000 วอนได้(เกือบ 1000 บาท) แพงเกินไปนะ T____T

ราชาติกาแฟไม่รู้ แต่ various berries mix อร่อยใช้ได้ เค้ก็รสชาติมาตรฐาน ไม่ได้แย่อ่ะไร ใครอยากมานั่งกินบรรยากาศก็พอถูไถ แต่ถ้าเป็นเราจะไปนั่งร้านคาเฟ่ของคนเกาหลีแทน ไหนๆก็มาเกาหลีแล้วอ่ะนะ





วิธีการไปร้าน....Cath's Cafe
สถานี อันกุก안국역) สาย 3 ทางออกที่ 1 สถานีเดียวกับเวลาไปอินซาดง หรือ พระราชวังคยองบ็อกเลย
ออกมาจากสถานี เดินตรงไป เลี้ยวขวาเข้าซอยด้านข้างเพราะพระราชวัง เดินไปจนสุดทางเจอ 3 แยก เลี้ยวขวา เดินไปอีกนิดก็ถึงเลย ร้านสีฟ้าๆตามเอกลักษณ์ของ Cath Kidston 



ปล. กินเค้กไปนิดหน่อย ไม่ได้บอกเพื่อนว่าเป็นเบาหวาน อีกอย่าง ใกล้คลอดละ เหมือนหมอสูติจะไม่ค่อยแคร์เรื่องเบาหวานสักเท่าไหร่ เพราะราโฮปน้อยแข็งแรงดีทุกอย่าง :)


ปล. เพื่อนมีของมาฝากราโฮปน้อยด้วย แล้วก็คิทแคทชาเขียว เพื่อนบอกเห็นในทีวีคนไทยชอบซื้อคิทแคทกัน 55555 แล้วก็มีช็อคโกแล็ตของ Baskin Robbins มาอีก 1 กล่อง ทำร้ายจิตใจมาก ต้องเก็บไว้กินหลังคลอดสินะ T______T
 










Monday 17 November 2014

35w 2d - คลาสฝึกหายใจเตรียมคลอด / pregnancy symtoms 04



* * *

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2557 (20141115)


วันนี้มีคลาสฝึกหายใจเตรียมคลอดตอนบ่ายโมงตรง สามีโทรไปถามได้ข้อมูลมาว่าควรแต่งตัวให้สบายๆ
ไปถึงก็ลงทะเบียนตามชื่อที่จองไว้ก่อน แล้วก็เข้าไปนั่งรอในห้อง ต้องนั่งพื้นเลยเข้าใจแล้วว่าทำไมให้แต่งตัวสบายๆ โดยเฉพาะกางเกง คนที่บรรยายเป็นคุณหมอ จริงๆพวกคลาสต่างๆที่มีของโรงพยาบาลจะเป็นคลาสของคุณหมอสูตินี่แหละ แต่หมอสูติเราไม่มีคลาส คงเพราะเค้าเป็นถึง vice president แล้วอ่ะนะ ตำแหน่งสูงๆงานก็น้อยลงหน่อย แต่ความรับผิดชอบมากขึ้น ^^

เริ่มแรกคุณหมอก็แนะนำให้รู้จักกับตุ๊กตาเด็กทารก ตัวเด่นของงาน.....หน้าตาประหลาดมาก -__-" แล้วก็ให้สามีภรรยานั่งหันหน้าเข้าหากัน (คลาสนี้ต้องมาคู่ ห้ามมาเดี่ยว) ให้สามีจับที่พุง แล้วภรรยาเอาแขนทั้ง 2 ข้างกอดคอไว้ หลังจากนั้นก็เปิดเพลงให้ฟัง

เราไม่เก่งเกาหลี แต่เข้าใจเนื้อเพลงนี้ทั้งหมดทุกคำ ทุกประโยค เพราะศัพท์มันไม่ยากเลย เนื้อเพลงประมาณว่า "เป็นรักที่เฝ้ารอมานาน เป็นรักที่เกิดขึ้นแล้ว" วนเวียนอยู่อย่างนี้....เชื่อมั๊ย ฟังไปน้ำตาคลอไปเลย เป็นรักที่รอมานานจริงๆ รอมา 2 ปี กับอีก 30 กว่าสัปดาห์แล้วเนี่ย ใกล้จะได้เจอกันละนะ :')
 

แล้วคุณหมอก็อธิบายเกี่ยวกับสายสะดือ รก น้ำคร่ำ position ของเด็กที่อยู่ในครรภ์ว่า เด็กกลับหัว และหมอบเอาหน้าคว่ำคือ position ที่ดีที่สุดในการคลอด และเพิ่งรู้ว่าสายสะดือมีความยาวประมาณ 50 cm เลยทีเดียว อีกอย่างคนเกาหลีก็คิดเหมือนคนไทยเลยว่า พุงแหลมคือเด็กชาย พุงกลมคือเด็กหญิง แต่คุณหมอบอกว่าไม่เกี่ยวเลย ขึ้นอยู่กับสรีระของร่างกายคุณแม่ล้วนๆ


คุณหมอเน้นเรื่องคุณพ่อมากๆ เค้าอธิบายถึงอาการต่างๆของคุณแม่ช่วงไตรมาส 3 และบอกคุณพ่อว่า ขอให้เข้าใจภรรยาเรื่องอาการต่างๆด้วย เพราะเค้าอุ้มท้องลูกของคุณอยู่เหมือนกัน :)
มีช่วงนึงคุณหมอให้มองหน้ากัน กำมือขึ้นแล้วพูดว่า เราต้องทำได้ (잘 할 수 있어!!) ประมาณว่าเราจะผ่านช่วงคลอดอันแสนเจ็บปวดไปด้วยกันได้อ่ะนะ

และเวลาที่เจ็บท้อง พยายามอย่าร้องโอ๊ย หรือโวยวายอะไร เพราะมันจะสื่อถึงลูกในท้องทั้งหมด แต่ให้พยายามคิดถึงสิ่งที่อยากทำหลังจากคลอดแล้ว พอผ่านช่วงนี้แล้วเราอยากทำอะไรมากที่สุด เพื่อเป็นแรงบรรดาลใจ....
สามีก็หันมาถามว่า ยูอยากทำอะไร เราเลยตอบว่า.......อยากกินเค้ก 55555555 เพราะไม่ได้กินเค้กมานานมากกกกกกกกกกเลย อยากกินเค้กช็อคโกแล็ต เค้กหน้านุ่มเยิ้มๆ พอบอกเสร็จสามีขำใหญ่ 55555 แต่เอาจริงๆหลังคลอดก็คงไม่กล้ากินเค้กเยอะหรอก กลัวนมตัน >___<

อีกอย่างคือ เมื่อลูกรับรู้ถึงความรู้สึกของแม่ แม่ก็ควรจะคิดแต่สิ่งดีๆ เช่น รักลูกนะ บลา บลา อันนี้เหมือนที่ครูโยคะบอกเลย แต่เวลาอยู่ในคลาสโยคะ ตอนที่ครูให้ทำสมาธิ หายใจเข้า-ออก พร้อมกับคิดถึงสิ่งดีๆเวลาคุยกับลูก แต่เรานี่คิดอยู่อย่างเดียว กลางวันนี้จะกินอะไรดี ในหัวมีแต่เรื่องกิน -_______-"


แล้วก็มีสอนสามีให้นวดภรรยา นวดท้อง นวดขา นวดไหล่ แล้วก็สอนฝึกหายใจเวลาเจ็บท้อง และช่วงคลอด รวมถึงการผ่อนคลายหลังจากที่คุณหมอดึงลูกออกมาจากช่องคลอดแล้ว คุณหมอบอกว่าพอคลอดแล้วจะวางลูกไว้บนอกแม่ เพื่อรับความอบอุ่น และดูดนมจากเต้า และมีสอนท่าบริหารกระดูกเชิงกราน จะได้คลอดง่ายๆ ซึ่งท่ามันเหมือนในคลาสโยคะที่เรียนเลย โชคดีมากๆ ^^

ตอนท้ายของงาน มีวีดีโอคลิปการคลอดลูกให้ดู แต่เด็กหันหน้าขึ้น ไม่ได้คว่ำหน้า และหมอไม่เร่งดึงเด็กให้ออกมา เพราะสายสะดือพันคอ 3 รอบ แต่ให้คุณแม่ค่อยๆเบ่งออกมาแทน พอเด็กคลอดออกมาหมด ก็เอารกที่พันคอออก เด็กก็เริ่มร้องเลย แสดงว่าปลอดภัยดี ดูคลิปแล้วเราก็น้ำตาไหลอีกละ รอบนี้ไหลออกมาเลย sensitive มาก 555 จริงๆเราก็คิดๆไว้หลายครั้งแล้วว่าพอได้เห็นหน้าลูก เราต้องร้องไห้แน่ๆ ;p


หันไปถามสามีว่า ยูรู้สึกยังไงบ้างกับคลาสนี้ สามีตอบกลับมาว่าดีกว่าที่คิดไว้ และเพิ่งรู้ด้วยว่าหมอจะกรีดช่องคลอดตอนคลอดด้วย ><

อ่อ คลอดที่เกาหลีไม่เสียเงินนะ ปกติตอนคนที่ทำ iui แบบเราก็จะได้เงินช่วยจากรัฐบาลด้วย แต่คู่เราไม่อยู่ในเงื่อนไข เลยต้องจ่ายเองทั้งหมด สาเหตุที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขไม่ใช่เพราะเป็น international marriage couple แต่เป็นเพราะสามีเงินเดือนสูงกว่าที่เค้ากำหนดไว้ แต่ทุกคู่จะมีเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายอื่นๆเกี่ยวกับลูก 500,000 วอน ซึ่งต้องเอาใบจากโรงพยาบาลไปเปิดบัญชี แล้วทางรัฐจะโอนเงินเข้ามาให้รวดเดียว แต่บัตรนั้นไม่สามารถเอาไปรูดซื้อของอย่างอื่นได้ ให้ใช้ที่โรงพยาบาลเท่านั้น ป้องกันคนเอาเงินไปใช้อย่างอื่น 
เพราะทางรัฐกำลังรณรงค์ให้คนมีลูกกัน คนสมัยนี้มีลูกช้า บางคู่ก็ไม่อยากมี ซึ่งมันทำให้เกิดปัญหาไม่มีคนจ่ายภาษี เพราะเงินภาษีส่วนนึงเป็นสวัสดิการของคนที่เกษียณแล้ว รัฐจะให้เงินดูแล และมีบ้านเช่าราคาไม่แพง ซึ่งถ้าคนจ่ายภาษีน้อย เงินก็ไม่พอกับสวัสดิการตรงนี้ :)



จบคลาสแบบแฮปปี้ดี ขออัพเดทอาการคุณแม่หน่อย





ถ่ายตอน 35 วีคพอดี

// รอบพุง 35.5 นิ้วแล้ว พุงยังไม่แตกลาย แต่จะแตกตอนโค้งสุดท้ายมั๊ยนี่ต้องรอดูอีกที

// ยังเจ็บหัวหน่าวซีกขวาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นอาการปกติ
(เมื่อวันก่อนเจ็บหัวหน่าวแล้วพาลมาเจ็บเชิงกรานด้วย แต่ก็เป็นแค่ครั้งเดียว ไม่เป็นอีกเลย)

// ไม่อึดอัดหลังจากกินอาหารแล้ว เริ่มกินได้เยอะขึ้น คงเพราะลูกเริ่มลงต่ำแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้

// กินน้ำเยอะมาก(มานานแล้ว อ่านเจอว่าคนเป็นเบาหวานจะกินน้ำเยอะ ฉี่เยอะ ลูกเลยฉี่เยอะตาม พอลูกฉี่เยอะ น้ำคร่ำก็จะเยอะกว่าคนปกติ) แต่ช่วงนี้กินเยอะขึ้น กินทั้งวัน ไม่เคยต่ำกว่า 2 ลิตร บางวันนี่ถึง 4 ลิตรกันเลย คงเพราะอากาศแห้งขึ้น คอเลยแห้งมาก (ทำให้ฉี่ทั้งวันทั้งคืนด้วย ><) และกินแต่น้ำเย็น ขนาดช่วงนี้หน้าหนาวแล้ว ตอนเช้าอากาศเริ่มติดลบ ก็ยังกินแต่น้ำเย็นฉ่ำๆ

// เบื่ออาหาร ไม่อยากจะทำอาหาร ไม่อยากคิดเมนู แต่อยากกินขนมปัง ของหวานๆ แต่จะพยายามห้ามใจ กินชิ้นเล็กๆให้หายอยากพอ

// น้ำหนักขึ้นโดยรวม 11 กิโลละ แต่ถ้าเทียบน้ำหนักก่อนท้องก็ขึ้นมา 6 กิโล สามีบอก แขนยูเริ่มใหญ่ขึ้นแล้ว 55555

// รู้สึกร้อนเป็นบางคืน(ทั้งๆที่อากาศหนาว และไม่ได้เปิดบอยเลอร์หรือฮีทเตอร์) ร้อนจนเหงื่อแตก เสื้อเปียก นอนไม่หลับ ><

// รู้สึกคล่องตัวมากกว่าช่วงวีค 33-34 คงเพราะขาชาน้อยลงด้วย และขาก็มีแรงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เดินได้ปกติไม่มีปัญหา ไม่ต้องพักเยอะเพราะขาชา

// แต่ยังนอนได้แต่ตะแคงซ้าย ตะแคงขวาได้ไม่นาน เพราะตะแคงขวานานๆแล้วแขน-ขาขวาชา

// เริ่มรู้สึกว่า เข็มขัดรัดพุงมันทำให้อีดอัด หลังๆมานี่เลยไม่ได้ใช้เลยแฮะ แต่คงเพราะใส่กางเกงตัวเดิมๆที่เคยใส่ก่อนท้อง ช่วงยางยืดตรงเอวมันก็เลยไปช่วยพยุงท้องเวลาเดินได้นิดหน่อย เวลาเดินเลยสบายๆ

// สะดือจุ่นครึ่งบนครึ่งเดียว ทำไมกัน -_____-"

// ท้องแข็งจำนวนครั้งน้อยลง แต่ลูกสะอึกบ่อยมาก สะอึกทุกวัน บางวันยาวเป็นนาทีเลย แต่หาข้อมูลในเนทมาแล้วว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอันตรายใดๆ

// ชอบมองพุงตัวเองในกระจกมากๆ มองมานานหลายวีคละ มองแล้วก็ลูบๆคลำๆ ยิ้มไปยิ้มมาเหมือนคนบ้า ที่มีความสุข 5555 :D



ปล. สามีเล่าให้ฟังว่า เค้าอ่านเจอการทดลองนึง ให้ผู้ชายลองเจ็บให้เท่ากับตอนที่ผู้หญิงคลอด ผลปรากฏว่า ผู้ชายทนได้แค่ 1 นาที 5555 แล้วก็หันมาถามว่า ยูไหวมั๊ย
เลยตอบกลับไปว่า เพราะผู้หญิงไม่มีทางเลือกอ่ะ เจ็บยังไงก็ต้องทนจนคลอดนั่นแหละ แต่ถ้าโลกนี้สร้างผู้ชายมาให้เป็นคนคลอดลูก ผู้ชายก็จะทนเจ็บได้เหมือนกันนั่นแหละนะ

สามีถามอีกว่า ยูจะบล็อคหลังมั๊ย.....จริงๆเรื่องนี้เราลังเลอยู่นะ เพราะได้ยินมาว่า ถ้าไม่บล็อคหลังจะรู้ว่าควรเบ่งตอนไหนอ่ะ แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าปากมดลูกจะเปิดไวแค่ไหน บล็อคทันรึเปล่า แต่ก็ไม่รู้ตัวเองจะทนเจ็บได้นานแค่ไหนเหมือนกัน สามีเลยบอกว่า ถ้าทนไม่ไหวก็บล็อคหลังเถอะนะ ^^



Saturday 8 November 2014

34w 2d


* * *

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2557 (20141108)


วันนี้เป็นวันที่ไปโรงพยาบาลเองวันแรกตั้งแต่ท้องมาเลย เพราะสามีติดธุระสำคัญ ต้องเข้าออฟฟิศแต่เช้าตรู่ จริงๆก็งอแงๆเล็กน้อยเพราะอยากให้ไปด้วยกัน แต่ก็ไม่โกรธและเข้าใจนะ เพราะเราเองก็เคยเป็นลูกจ้างเค้าเหมือนกัน บางทีมันก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ....แต่วันไหนเจ็บท้องคลอดนี่ห้ามเลยนะ ><


 ไปถึงตั้งแต่โรงพยาบาลเปิดเลย เพราะถ้าไปช้าคนจะเยอะ ขี้เกียจรอคิวนานๆ ไปถึงก็ process เดิมๆ ยื่นสมุดฝากท้อง รับบัตรคิวชั่งน้ำหนัก วัดความดัน
2 อาทิตย์ที่ผ่านมาน้ำหนักขึ้นอีกครึ่งกิโล ความดัน 117/67 ก็ถือว่าปกติดี จริงๆอยากให้เลขตัวบนมันต่ำกว่า 100  แต่มันก็ไม่ค่อยจะลงสักที เสร็จแล้วก็นั่งรอผู้ช่วยหมอเรียกคิว ซึ่งวันนี้คนน้อยผิดปกติมากๆ ปกติถึงแม้จะมาไวบางทียังรอนานเลย เพราะคนอื่นๆก็มากันไวเหมือนกัน

พอเข้าไปเจอหมอ หมอก็ถามว่าสบายดีมั๊ย ก็ตอบว่าสบายดี หมอเห็นน้ำหนักแล้วแซว น้ำหนักขึ้นนิดเดียวเองนี่ แสดงว่าออกกำลังเยอะเลยสิ 5555555






ราโฮปน้อยก็สบายดี :D

หมอชี้ให้ดูตา เริ่มกระพริบตาแล้ว โอยยย ช่วงเวลาแบบนี้อยากให้สามีมาเห็นด้วยกันจริงๆนะ เห็นชัดๆเลยว่ากระพริบตาปริบๆอยู่ น่าร๊ากกกกกกก ^________^

ทุกอย่างก็ไม่มีอะไร ปกติดี อัตราการเต้นของหัวใจก็ปกติดี หมอซาวด์ให้เห็นสายสะดือ เลือดเลี้ยงผ่านสายสะดือได้คล่องดี ไม่มีปัญหา แต่....ราโฮปน้อยหนัก 2023g หมอบอกน้อยไปนิด ให้กินให้เยอะขึ้นหน่อย เลยถามหมอว่ากินอะไรดี หมอยิ้มๆตอบว่า กินได้ทุกอย่างเลย เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ เอาจริงๆรู้สึกว่าหมอไม่ค่อยแคร์เรื่องเบาหวานละ แต่ยังไงเราก็ยังจะคุมต่อไปแหละ เพื่อความปลอดภัยของลูก :)
บอกหมอว่า ช่วงนี้เจ็บหัวหน่าวมากเลย(จริงๆก็รู้ว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็บอกหมอแกไว้สักหน่อย) หมอบอก เดี๋ยวอีกหน่อยจะเจ็บมากกว่านี้อีก เพราะหัวเด็กจะกดลงเรื่อยๆ T__T

และยังให้เดินออกกำลัง + เล่นโยคะได้เหมือนเดิม

แล้วหมอก็ให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ นี่กำลังสงสัยว่ามันระบาดที่เกาหลีรึเปล่าเนี่ย เพราะคนท้องทุกคนโดนฉีดหมดเลย สามีก็ฉีดเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว แถมบริษัทยังออกค่าฉีดให้อีกต่างหาก


เสร็จจากหมอสูติ ก็ไปพบหมอโภชนาการต่อ วันนี้วันนัด 2 หมอเลย หมอดูผลเจาะเลือดแล้วก็ชมเหมือนเดิมว่าผลออกมาดีมากๆ หมอถามถึงน้ำหนักลูกว่าเป็นยังไง เราก็ตอบไปว่า หมอสูติบอกว่าตัวเล็กไปนิดนึง หมอก็แนะนำให้กินเยอะขึ้นอีก แต่เราก็กลัวผลเลือดมันจะเกิน 120 mg/dL หมอแนะนำให้กินชีส เพราะไม่มีผลต่อน้ำตาล ถั่วเหลือง เพิ่มข้าว เพิ่มเนื้อสัตว์ได้ แม่ยังกินเยอะได้เพราะน้ำหนักขึ้นไม่เยอะเลย
(เอาจริงๆถ้าเทียบกับน้ำหนักก่อนท้อง ก็ขึ้นมาแค่ 5 กิโลเอง หมอโภชนาการเค้าวัดจากน้ำหนักก่อนท้อง แต่ถ้าเริ่มจากน้ำหนักหลังแพ้ท้อง ที่ลดไป 5 กิโล ก็กลายเป็นเพิ่มมา 10 กิโลแล้ว)

ใจนึงเราไม่อยากกินชีส หรือถั่วมาก กลัวลูกจะแพ้อาหาร อุตส่าห์พยายามกินให้น้อยที่สุดมาตั้งนาน ไม่อยากจะให้มาแพ้เอาตอนไตรมาส 3

// เล่าให้สามีฟังว่า คนไทยโด๊บนม 2 ลิตร ไข่ 3-4 ฟองต่อวันเพื่อเพิ่มน้ำหนักลูก ฮีอึ้งไปเลย ถามว่า ต้องกินขนาดนั้นเลยหรอ ทำหน้าตกใจอีกต่างหาก (จริงๆเราเองยังตกใจเลย 555)

ก็เลยเสริชหาข้อมูลวิธีเพิ่มน้ำหนักลูกในครรภ์ ไปเจอบทความของป้าหมอ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ หมอกุมารแพทย์ทารกที่เน้นเรื่องคุณค่าของนมแม่ เป็นหมอที่เราไม่เคยพบ แต่ก็นับถือมากๆคนนึง


สรุปได้ว่า ไม่ควรโด๊บอะไรมากไป และเด็กตัวเล็กเป็นเรื่องปกติของแม่ที่เป็นเบาหวาน แต่ให้พักผ่อนเยอะๆ นอนให้เพียงพอ เลือดจะได้ไปเลี้ยงลูกได้มากขึ้น แทนที่จะมาเลี้ยงแม่
เราเลยตั้งใจไว้ว่าจะลดการออกกำลังลงหน่อย จากที่เดินหลังอาหารวันละ 2 มื้อ คงลดเหลือวันละ 1 มื้อแทน วันไหนเดินไปเรียนโยคะ วันนั้นก็จะถือว่าเดินออกกำลังแล้ว ถ้ารู้สึกพุงอึดอัดก็ยกดัมเบล แกว่งแขนขาอยู่บ้านเอา
 







โชว์รูปพุง ถ่ายตอน 34 วีคพอดิบพอดี ^^
เดี๋ยวนี้เวลาส่งรูปแนวนี้ให้สามีดู ฮีจะชอบบอกว่า My 3 girls. :D


จริงๆเราก็ไม่ได้กังวลาเรื่องน้ำหนักลูกมากเท่าไหร่ เพราะไม่ได้น้อยจนน่ากังวล ราโฮปน้อยก็แข็งแรงดี อีกอย่างคือ วัดจากเครื่องอัลตร้าซาวด์มันไม่เสถียรหรอก คลอดออกมาก็อีกน้ำหนักนึงอยู่ดี ขอเน้นให้ลูกแข็งแรงก็พอ



สรุปวันนี้แฮปปี้ดีนะ ถึงจะต้องไปหาหมอคนเดียว เจอหมอ 2 คน โดนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากหมอสูติ โดนเจาะเลือดไป 2 หลอด ตรวจกลูโคสกับอะไรอีกสักอย่าง และตรวจฉี่จากหมอโภชนาการ พูดภาษาเกาหลีที่เราไม่คล่อง แต่เราก็ผ่านมาได้ รู้สึกโล่งมากๆ เหมือนแบบ เออ เราก็ทำได้อ่ะ ภูมิใจในตัวเองเล็กน้อย อิอิ แต่ถ้าสามีมาด้วยจะแฮปปี้กว่านี้แน่นอน ^_______^




Wednesday 5 November 2014

preparing for baby 01 and some more baby's clothes


* * *

เมื่อวีคเอ็นที่ผ่านมา คุยกับสามีว่าอยากซื้อน้ำยาซักผ้าเด็ก เพราะอยากจะซักเตรียมไว้ก่อนเลย เห็นใครๆเค้าก็ซักกันแล้ว เรานี่ของทุกอย่างยังอยู่ในแพ็คเก็จอย่างดีเสมือนเพิ่งซื้อมาเมื่อวาน 55555
จากตอนแรกที่คิดว่าจะซื้อพวกน้ำยาซักผ้าออร์แกนิค ก็เปลี่ยนใจมาซื้อยี่ห้อธรรมดาที่หาซื้อได้ตามมาร์ททั่วไป เวลาหมดแล้วก็หาซื้อง่ายดี แถมราคายังไม่แพงจนเกินไป กลิ่นหอมมากด้วย ซักเสร็จแล้วกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบ้านเลย แต่พอโดนแดดแห้งแล้วกลิ่นมันหายไปซะงั้น -___-










เนื่องจากระเบียงบ้านเล็ก ราวตากผ้าก็เล็ก เลยต้องทะยอยๆซัก ไม่งั้นไม่มีที่จะตาก

เมื่อวานเป็นวันแดดดี บวกกับไม่มีคลาสโยคะ เลยซักพวกผ้าเช็ดหน้า กับพวกเสื้อผ้าก่อน ใช้เวลาซักร่วมชั่วโมง เพราะต้องซักมือ เครื่องซักผ้าที่ใช้อยู่เป็นแบบฝาหน้า จริงๆมีโหมด เบบี้บับเบิ้ล ด้วย แต่ปัญหาคือ น้ำยาซักผ้ามันเป็นของผู้ใหญ่ และใส่ค้างไว้ หมดก็เติมไปเรื่อยๆ เลยจำใจต้องซักมือ

// คาดว่าหลังคลอดแล้วก็คงยังต้องซักมืออยู่ดี ด้วยเหตุผลที่ว่ามาข้างบน เป็นซอมบี้แน่ๆเรา T___T

// ว่าจะฝากแม่ซื้อผ้าอ้อมจากไทยเพิ่มอีกสัก 1 โหล ผ้าอ้อมผืนขนาด 27*27 ที่เกาหลีเหมือนจะไม่มีเลย ส่วนใหญ่จะใหญ่กว่า ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำลายก็เล็กไปหน่อย แต่เท่าที่เดินๆผ่านแม่ลูกอ่อนทั้งหลาย ไม่มีใครพกผ้าอ้อมจริงๆ คงเพราะไม่มีใครอุ้มพาดบ่าออกไปข้างนอกแบบบ้านเรา ส่วนใหญ่ก็ใส่รถเข็น ไม่ก็เป้อุ้มเด็ก ที่มีที่ครอบไว้ซับน้ำลายอยู่แล้ว





มาเช้านี้ผ้าที่ซักไว้แห้ง ก็พับเก็บใส่ถุงซิปล็อคกันฝุ่น แล้วก็เก็บลงกล่องอีกที

บ้านเรายังไม่ซื้อพวกลิ้นชัก หรือตู้เสื้อผ้าเด็ก เพราะมีแพลนจะย้ายบ้านซัมเมอร์ปีหน้า ราโฮปน้อยก็จะอายุประมาณ 6-7 เดือน เสื้อผ้าคงยังไม่เยอะมาก(หวังว่านะ) เลยจะใช้วิธีเก็บใส่กล่องแบบนี้ไปเรื่อยๆก่อน :)
แต่พอหลังคลอด เริ่มเอาของออกมาใช้ คงไม่ได้ใส่ซิปล็อคอะไรแบบนี้แล้ว เพราะแม่ขี้เกียจ 555

เห็นในบล็อคคนเกาหลี แม่ๆบางคนพอซักเสร็จก็รีดผ้าอ้อมด้วย แต่แม่คนนี้คงจะไม่ทำ เพราะคิดว่าไม่จำเป็นน่ะ ขี้เกียจด้วย อย่างที่บอก >_____<










ส่วนวันนี้ซักพวกผ้าห่ม ผ้าห่อตัว ผ้ายางกันฉี่ซึม ผ้าเอนกประสงค์ที่จะใช้เป็นผ้าเช็ดตัว ปลอกหมอน(ที่คิดว่าแรกๆคงยังไม่ใช้อยู่ดี) และที่กันน้ำลายใส่กับเป้อุ้มเด็ก

// ผ้าห่มเยอะมากจริงๆ -"-

ใช้เวลาซักร่วมชั่วโมงอีกเช่นกัน ก้มๆเงยๆจนปวดหลังเล็กน้อยเลย >____<

แต่ตอนเตรียมของแบบนี้ มีความสุขกว่าตอนซื้อของอีกนะ เหมือนกับว่า มันใกล้เวลาแล้วจริงๆ ใกล้จะได้เจอกัน ได้กอด ได้หอม หลังจากที่เห็นกันแค่ผ่านหน้าจอเหลี่ยมๆกันเท่านั้น ^_____^








เมื่อวานสามีไปกินข้าวเย็นกับเพื่อน พอกลับมาบ้านก็มีถุงมาอีก 1 ถุง เป็นพวกเสื้อผ้าอีกแล้ว เพื่อนสามีเอาเสื้อผ้าเด็กที่เค้าไม่ได้ใช้แล้วมาให้ ลูกสาวเหมือนกันซะด้วย โชคดีมากๆ :D





เพื่อนสามีบอกว่า ใส่ไปแค่ไม่กี่ครั้ง เพราะลูกเค้าคลอดตอนกุมพา หลังจากนั้นไม่นานก็เข้าสปริง ช่วงเปลี่ยนฤดู เด็กก็โตเร็ว ปีหน้าก็ใส่ไม่ได้แล้ว เลยเอามาให้ มีตัวนึงยังไม่แกะป้ายเลยด้วย
ซึ่งเราชอบมากๆ ตอนแรกคิดว่าช่วงสปริงจะต้องออกไปหาซื้อเสื้อผ้าอีก ที่ยังไม่ซื้อก่อนเพราะยังไม่รู้ไซส์ แต่นี่ได้มาฟรีๆ ไซส์ใหญ่หน่อย คิดว่าน่าจะใส่ได้พอดีๆ ^^






มีถุงมือ 2 คู่ กับถุงเท้าอีกจำนวนนึง 





ชอบถุงมือ กับถุงเท้านี้มาก น่าร๊ากกกกกกกกก XD~~~




แต่ที่ถูกใจที่สุดคือชุดนี้.....





ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะหาซื้อบอดี้สูทแบบนี้ ไว้เวลาออกไปข้างนอกตอนหนาวๆ ปรากฏว่าได้มาพอดีเลย ดีใจมากๆ แบบก็น่ารักมากด้วย ^_______^

แต่ชุดพวกนี้คงไว้ซักทีหลัง ไม่รีบๆ ยังมีเวลา ^^



ตอนนี้เรื่องเตรียมของบ้านเราติดปัญหาเรื่องเตียงมากๆ ว่าจะเช่า หรือจะซื้อ เพราะอย่างที่บอกว่าจะย้ายบ้าน ถ้าเช่าก็แค่ 6-7 เดือน ราคารับได้ ย้ายบ้านแล้วมีห้องลูกส่วนตัวค่อยซื้อเตียงใหม่ แบบใหญ่หน่อย แต่ยังมีที่กั้น
ที่คิดอีกอย่างนึงคือ อีกประมาณ 2 ปีครึ่ง ครอบครัวเราอาจจะได้ย้ายไปต่างประเทศ ส่วนจะประเทศไหนนั้นแล้วแต่ว่าบริษัทที่สามีทำงานจะส่งไป แต่คิดๆไว้ว่าคงได้ไปเมกา 80% เพราะทีมที่สามีทำงานอยู่เป็นทีมที่ต้องติดต่อกับเมกา (แต่ใจจริงเราอยากได้ยุโรป อย่าง ออสเตรีย หรือ เบลเยี่ยม มากกว่านะ ><)
แล้วถ้าซื้อเตียง ตอนมีลูกคนที่ 2 ที่แพลนไว้ว่าอีก 2 ปีจะมี ก็ต้องขนเตียงไปด้วย ลำบากขนของอีก สู้ไปซื้อใหม่เอาที่โน่นเลยน่าจะง่ายกว่า เลยยังคิดกันไม่ตกสักทีว่าจะเอายังไงดีหนอ

ปล. ไม่ต้องห่วงจินดัลเร เพราะเราคุยกันไว้นานแล้วว่า ไม่ว่าจะย้ายไปไหนบนโลกใบนี้ เราก็จะพาจินไปด้วย ไม่ทิ้งไว้ที่นี่แน่นอน :)




ช่วงนี้ก็พยายามเตรียมของ แล้วก็จัดโต๊ะ จะ DIY โต๊ะเขียนหนังสือมาเป็นโต๊ะเปลี่ยนแพมเพิส เราไม่อยากซื้อโต๊ะเปลี่ยนโดยเฉพาะ เพราะนอกจากจะไม่มีที่แล้ว คิดว่าคงใช้ไม่นานด้วย เลยกะว่า DIY แบบนี้น่าจะดีกว่า ก็แค่เก็บของลงให้หมอ แล้วปูเบาะ ปูผ้าเอา ประหยัดไปได้อีก
แต่เก็บโต๊ะเท่าไหร่ก็ยังไม่เสร็จสักที เพราะของกระจุกกระจิกเยอะมาก ตามประสาคนชอบซื้อแต่ไม่ชอบเก็บของ หนังสือของสามีก็ว่าจะเอาไปบริจาคห้องสมุดเอา ไหนๆก็อ่านจบแล้ว ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม ของอย่างอื่นที่ไม่จำเป็นก็คงทิ้งหมด เวลาย้ายบ้านจะได้ไม่ต้องมานั่งเลือกของทิ้งอีกรอบ ^^





Monday 3 November 2014

33w 4d - pregnancy symtoms 03


* * *

มาอัพบล็อคแบบลวกๆอย่างรวดเร็ว
ขออัพเดทอาการคุณแม่นิดหน่อย ^^




จริงๆรู้สึกว่าอาการโน่นนี่มันเป็นๆหายๆ กลับไปกลับมา


// อาการปวดหัวหน่าวกลับมาอีกแล้ว ปวดเฉพาะด้านขวาเหมือนเดิม แต่คิดว่าคงเพราะก่อนหน้านี้เรานอนตะแคงขวาเท่านั้น หัวเด็กก็อยู่เอียงๆไปทางขวาด้วย ช่วงนี้เลยพยายามนอนตะแคงซ้ายบ่อยๆ (หวังว่าจะไม่ปวดทั้งหัวหน่าวแทนนะ -"-)

// อาการจู่ๆก็เหนื่อย....เป็นไม่บ่อย แต่ก็ยังเป็นบ้างครั้งคราว

// เป็นคนท้องที่ไม่เป็นริดสีดวง แต่ขับถ่ายคล่องกว่าตอนก่อนท้อง (แต่ไม่ถ่ายทุกวัน ก่อนท้องก็ไม่ถ่ายทุกวัน ไม่เป็นเวลาอีกต่างหาก แล้วแต่อารมณ์สุดๆ)
แต่ขอยกเว้นช่วงไตรมาสแรกที่แพ้ท้องอย่างรุนแรง กินอะไรก็ออกหมด ลำไส้เลยไม่มีกากอาหารให้ทำงาน ตอนนั้นถ่ายอาทิตย์ละรอบ บวกเลือดสดๆปนออกมาเลยทีเดียว Y.Y

// ขาชอบหมดแรงและขาขวาชา เดาว่าขาขวาชาบ่อยเพราะนอนตะแคงขวาเหมือนกัน เป็นสาเหตุที่สามีห้ามขับรถโดยเด็ดขาด เพราะกลัวจะขาชาตอนขับ อันตรายทั้งกับตัวเองและคนอื่น ไม่อยากติด blacklist ที่เกาหลี ยังต้องอยู่ไปอีกนานอ่ะเน้อ T__T
สังเกตได้ว่า ขาขวาจะชอบชาหลังจากที่นั่งรถนานๆ แต่ชาไม่นาน หยุดยืนพักแป๊บเดียวก็เดินได้ต่อ

// กินได้น้อยลง แต่ก็หิวบ่อยขึ้น สงสัยเพราะกินน้อยมันเลยย่อยไว

// ยังท้องแข็งเวลาปวดฉี่เหมือนเดิม แต่ที่น่ากังวลคือ เริ่มท้องแข็งบ้างเวลาที่นอนแล้วลุกเร็วไป และปกตอจะท้องแข็งเฉพาะท้องส่วนบนด้านซ้าย นี่เริ่มท้องช่วงล่างเริ่มจะแข็งบ้างแล้ว แต่ก็ไม่นับว่าถี่จนเกินไป
(แต่วันก่อนสามีสั่งน้ำดื่มให้มาส่งที่บ้าน คนส่งของวางไว้ที่หน้าประตู ไอ้เราก็เห็นว่ามันอยู่หน้าบ้าน เลยยกเข้ามาเอง...ปรากฏว่ามันหนัก 1 แพ็คมี 6 ขวด ขวดละ 2 ลิตร สั่งมา 2 แพ็ค และ ขวด 500 ml อีก 12 ขวด/แพ็ค ปรากฏว่างานเข้าเลย ยกเสร็จท้องแข็งทันที เข็ดแล้ว T____T)



* * * สรุปโดยรวมก็ถือว่ายังคล่องตัวอยู่ ยังเดินไปเรียนโยคะได้ เดินออกกำลังโดยการเดินเร็วและแกว่งแขนได้อยู่ เดินออกกำลังขึ้นเนินได้นิดหน่อย อาการต่างๆก็เปนไปตามไตรมาส ตามอายุครรภ์ ไม่มีอะไรน่ากังวลใจมากมายนัก เบาหวานก็ยังคุมได้ดีไม่เครียด จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นคนท้องที่ลัลล๊าแฮปปี้ดีอยู่ :D